หลายคนคงคุ้นหูกับ เทคโนโลยี AR/VR เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีมากว่า 20 ปีแล้ว โดยเป็นเทคโนโลยีที่จำลองเหตุการณ์จริงโดยรอบ ( Real Environment) ด้วยเทคโนโลยีในการสังเคราะห์ภาพออกมาพร้อมจำลองวัตถุโดยรอบให้เหมือนจริง หรือ Augmented Reality แต่หากเป็นการสังเคราะห์ภาพใหม่ให้อยู่ในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยไม่อิงจากความเป็นจริงเพื่อความบันเทิงอย่างเกม, ภาพยนตร์ ก็สามารถจำลองภาพดังกล่าวได้ เรียกว่า Virtual Environment

โดยในปัจจุบันอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานเทคโนโลยี AR/VR มากที่สุดคืออุปกรณ์แบบติดกับศีรษะ (Head-Attach) และอุปกรณ์สำคัญ Hand-Held  เช่น เครื่อง Projector และอุปกรณ์แบบตั้งวาง (Spatial) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ฉายภาพ 3 มิติ

แต่ในปี 2020 นี้ โลก AR/VR จะเปลี่ยนไป! เมื่อ Facebook นำความสามารถของเทคโนโลยี AR/VR มาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในชีวิตประจำวันผ่านโลกโซเชียล ปฏิวัติทั้งวงการบันเทิง ธุรกิจ หรือชอปปิ้ง โดยผู้ใช้งานสามารถรับชมภาพรอบด้าน 360 องศาในรูปแบบ 3 มิติ 

AR มิติใหม่ 2020 เปลี่ยนโลกโซเชียลให้เป็นโลกเสมือนจริงได้อย่างไร?

นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ของวงการโซเชียลเน็ตเวิร์กกับระบบปฏิบัติการใหม่ ในชื่อ Eye OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่มีความฉลาด สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สายอย่าง Oculus Go และ สมาร์ทโฟนของผู้ใช้ แล้วแสดงผลในรูปแบบภาพเสมือนจริง 3 มิติทุกรูปแบบ ทำให้โลกสังคมออนไลน์มีหลายมิติเพิ่มมากขึ้น  นักเล่นเกมสามารถนำความสามารถนี้ไปเล่นเกมที่สามารถบุกตีป้อมหรือทำภารกิจได้ทุกพื้นที่ ด้วยการนำผู้เล่นเข้ามาอยู่ในเกม หรือผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปสู่การขายสินค้า โดยการพาลูกค้าไปเยี่ยมชมสินค้าจากทุกที่ทั่วโลกโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน ลูกค้าสามารถมองสินค้าได้ทุกมุมมองได้เสมือนจริง นอกจากนี้ระบบดังกล่าวยังมีความสามารถเรียนรู้ความต้องการในใจของผู้ใช้งานได้อีกด้วย พร้อมทั้งแสดงผลทาง News Feed ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีระบบปฏิบัติการไหนที่เห็นผลชัดเจน ทำให้ผู้ผลิตเนื้อหาและอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี AR/VR แตกผลิตจนไร้ทิศทางที่ชัดเจนและยังขาดการเชื่อมต่อกับโลกโซเชียล

Eye OS เป็นระบบที่มีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาระบบปฏิบัติการ Android ของทาง Google และ ระบบปฏิบัติการ IOS ของทาง Apple ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมนี้ จึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงโลกสังคมออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุดในปีนี้ ซึ่งส่งผลดีต่อการเรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภคผ่านระบบ AI การทำงานของระบบ AR/VR ทำงานได้อย่างอิสระเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ติดเงื่อนไขการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานของเครือข่ายโซเชียลและความเป็นส่วนตัวได้ลึกมากกว่าเดิม

AR/VR โลกโซเชียล ช่วยธุรกิจค้าขายติดต่อซื้อขายไร้พรมแดนแม่นยำขนาดไหน?

เมื่อมีระบบปฏิบัติการของ AR/VR อย่างเป็นทางการในโลกโซเชียล ผู้บริโภคสามารถใช้บริการ AR หรือ (Augmented Reality) ผ่านแว่น AR ได้โดยตรง เห็นภาพได้อย่างชัดเจน หากมีลูกเล่นใหม่ๆ ก็สามารถใช้งานได้ทันที และทำให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนอย่าง VR ( Virtual Reality ) ได้อย่างเนียนกริบ ทันต่อโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเทคโนโลยีไร้สายอย่าง 5G

โดยเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้กับกลุ่มพ่อค้าและแม่ขายทั่วโลก โดยที่ระบบ Eye OS เตรียมเพิ่มพื้นที่การค้าขายซึ่งมีขนาดใหญ่ ไม่จำจัดขนาดพื้นที่ แล้วให้ลูกค้าใช้เทคโนโลยีแว่น AR เพื่อมองเห็นภาพสินค้า

เริ่มต้นจาก Burlingame เป็นหน่วยงานที่ Facebook ก่อตั้งเพื่อทดสอบระบบ AR/VR อย่างครบวงจร ได้ทำการทดสอบระบบกับร้านค้าและลูกค้าได้ลองใช้บริการเลือกซื้อสินค้าผ่านการดูผลิตภัณฑ์จากภาพเสมือน มองได้ทุกมุมมอง 360 องศา และเดินเล่นได้ทั่วร้านเพื่อรับชมสินค้า หลังจากนั้นให้ลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบ Online แล้วรอรับสินค้าได้จากที่บ้าน โดยมีจุดให้บริการรับส่งสินค้าใช้เวลาไม่เกิน 24 ชม. นับว่าเป็นจุดที่สำคัญของการเปิดตลาดพื้นที่ค้าปลีกออนไลน์ท้าชนกับ Apple และ Microsoft อย่างชัดเจน

AR รุกตลาด E-Sport ขยี้ศัตรูผ่านโซเชียลได้เสมือนจริง

ในอุตสาหกรรมเกม Facebook ได้ให้นักกีฬา E-sport ใช้แว่น Virtual reality พร้อมอุปกรณ์พิเศษเล่นเกม World War II ทำให้ผู้เล่นเกมได้เล่นเกมเหมือนอยู่ในพื้นที่จริงผ่านโลกเสมือน ออกไปสู้รบสมรภูมิด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น อุปกรณ์ที่เป็นอาวุธ หรือ อุปกรณ์ที่เป็นสายรัดต่างๆ อุปกรณ์เหล่านี้จะประสานการทำงานทั้งแว่น AR/VR ไปพร้อมๆ กัน และยังสามารถชวนเพื่อนๆ จากสังคมออนไลน์มาร่วมเล่นได้อีกด้วย  โดยเทคโนโลยีนี้จะเปิดตัวภายในงาน Oculus Quest ในปี 2020 นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะนำเทคโนโลยีล้ำหน้านี้ไปใช้ในอนาคต

AR ในสังคมโซเชียลได้เปรียบ ซูมคู่สนทนาได้ชัดๆ พร้อมเลือกเป้าหมายที่ชัดเจน

ส่วนประชาชนทั่วไปในโลกโซเชียล ก็ยังได้ประโยชน์จากระบบปฏิบัติการ Eye OS เช่นกัน เพราะจะมีบริการ Video Calls ในรูปแบบ VR Video Conference โดยสามารถซูมเข้าหรือซูมออกได้จากภาพวิดีโอ และทุกคนในกลุ่มยังสามารถเลือกซูมแต่ละคนได้ตามอัธยาศัย ด้วยกล้องอัจฉริยะที่สามารถเคลื่อนตามแอคชั่นของผู้ใช้งานได้พร้อมๆกัน และยังสามารถเลือกได้ว่าต้องการรับชมคู่สนทนาท่านใดเป็นพิเศษ ไม่ต่างกับการการสนทนาที่ต้องพบปะกันจริงๆ เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์อย่างมากหากคู่กรณีอยู่ไกลๆ ทั้งประหยัดเวลาการเดินทางและค่าใช้จ่าย  และที่สำคัญ ระบบดังกล่าวยังมีความสามารถเรียนรู้ข้อมูลทางการสะกดคำ การใช้ภาษาให้ถูกหลักของชาตินั้นๆ และถูกต้องตามพจนานุกรม สามารถพิมพ์ข้อมูลได้เร็วถึง 100 คำต่อนาที

"ปรากฏการณ์ใหม่บนโลกโซเชียลครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของเราได้มากน้อยแค่ไหน? ต้องรอดูกันต่อไป"

  โดยมกรณ์ บาลทิพย์ นักเขียนและนักแปลข่าวไอทีแห่ง ADSLThailand