ไม่แปลกอะไร หากวงการผลิตภัณฑ์ด้านความงามและแบรนด์เครื่องสำอางต่างๆ จะหันมาแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีกันบ้าง ไม่ว่าจะการพัฒนาเทคโนโลยี AR สำหรับทดลองเมคอัพแบบเสมือนจริง หรือการแทร็ก ข้อมูล (Data) พฤติกรรมของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามให้ตอบโจทย์ได้ตรงจุดแบบ Personalization เพราะผู้บริโภคเองก็เรียกร้องประสบการณ์ใหม่ๆ จากแบรนด์เช่นเดียวกัน
 

การเปิดตัว My Skin Track UV เซนเซอร์แบบ Wearable ในงาน CES 2019 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่า นับจากนี้ไปเราจะได้เห็นธุรกิจด้านความงามหันมาแข่งกันด้านเทคโนโลยี และมุ่งเน้นนวัตกรรมที่ช่วย Customize ผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงใจลูกค้าได้แทบทุกด้าน งานนี้ทาง L’Oréal และแบรนด์ในเครืออย่าง La Roche-Posay ได้พัฒนาเซนเซอร์ที่วัดค่า pH บนผิวหนังได้ ด้วยเทคโนโลยี Microfluidic ซึ่งสามารถตรวจวัดคราบเหงื่อจับจากรูุขุมขนบนผิวหนัง ผ่านรูเล็กๆ บนเซนเซอร์ที่สามารถอ่านค่า pH ออกมาได้อย่างแม่นยำ ในเวลา 15 นาที จากนั้นจึงส่งข้อมูลไปยังแอปพลิเคชันเพื่อวิเคราะห์สุขภาพของผิวหนัง ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสมได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่แบรนด์ดังฝั่งเอเชียอย่าง Shisedo ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันบริการพิเศษ Optune สำหรับลูกค้าที่ต้องการดูแลปรนนิบัติผิวพรรณแบบลงลึกจริงๆ และต้องสมัครสมาชิกเท่านั้น เพราะผู้ใช้ต้องยินยอมให้บริษัทเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วย เพื่อให้ระบบสามารถติดตามพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนหลับ การทำกิจกรรมต่างๆ และรอบเดือน นอกจากนี้ผู้ใช้จะต้องถ่ายรูปผิวหนังทุกๆ วัน ผ่านทางกล้องหน้า เพื่อให้ Machine Learning ช่วยวิเคราะห์สภาพผิวหนัง ซึ่งอาจแปรเปลี่ยนสภาพไปในแต่ละวัน ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอย่างมลพิษ อากาศ การนอนหลับ และความเครียด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะเนรมิตสกินแคร์ที่เหมาะสมกับลูกค้าสุดพิเศษอย่างแท้จริง

                                                                   ภาพจาก www.shiseidogroup.com

มาดูฝั่งแบรนด์ Atolla ธุรกิจสกินแคร์ที่ก่อตั้งโดยศิษย์เก่าจากสถาบันเทคโนโลยี ชูจุดเด่นของแบรนด์ โดยพัฒนาเซรั่มบำรุงผิวหน้าให้กับลูกค้าแต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่แบ่งตามประเภทผิวผสม ผิวมัน หรือผิวแห้งเท่านั้น แต่ถึงขั้นส่งอุปกรณ์ตรวจสุขภาพผิวหรือ Skin Health Kit มาให้ทดสอบกันถึงบ้านก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรามีสภาพผิวแบบไหน ในชุดจะประกอบด้วย ตัวเทสต์ความมันบนใบหน้า (oil) ตัวเทสต์ระดับความชุ่มชื้นของผิว (Moisture) และค่า pH ตามบริเวณต่างๆ บนใบหน้า จากนั้นก็แค่สแกนตัวเทสต์ผ่านแอปพลิเคชัน ระบบอัลกอริทึม (Predictive Algorithm) ในแอปฯ จะวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ เพื่อที่จะเลือกเซรัมที่มีแนวโน้มจะตอบโจทย์กับสภาพผิวดังกล่าวมากที่สุด โดยให้ความสำคัญการปกป้องดูแลผิวพรรณ มากกว่าการฟื้นฟูรักษาอย่างเดียว

Virtual Makeup แต่งแต้มสีสันให้กับการช้อปปิงเครื่องสำอางทั้งออนไลน์-ออฟไลน์

เทคโนโลยี AR ไม่ใช่ของเล่นใหม่สำหรับแบรนด์เครื่องสำอาง แต่เป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ต้องมี! ตั้งแต่ L’Oreal, Sephora, Urban Decay และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย ต่างก็พัฒนาแอปพลิเคชัน AR นำฟีเจอร์เมคอัพเสมือนจริงมาวางบนใบหน้าให้ดูราวกับว่าเรากำลังทดลองใช้ลิปสติกสีนั้นอยู่จริงๆ พร้อมหลายเฉดสีให้เลือกสรร ตามสภาพผิวและสีผิว นอกจากนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีรู้จำใบหน้าหรือ Facial Recognition ยังช่วยจำลองภาพเมคอัพเสมือนจริงและวางทาบบนส่วนต่างๆ ของใบหน้าจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลงเฉดดิ้งบริเวณกรามหรือไฮไลต์บนสันจมูก หรือต่อให้เราหัวเราะ ยิ้ม หรือขยับตัวไปมา เมคอัพเหล่านี้ก็จะติดทนอยู่บนใบหน้าไปด้วย

ไม่ใช่แค่ในแอป แต่ความนิยมของ Virtual Makeup ได้บุกไปถึงหน้ากระจกบนเคาน์เตอร์ของแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ ทั้งในร้านและห้างสรรพสินค้า เพราะนี่คือโอกาสดีๆ ที่จะทำให้ลูกค้าได้สนุกกับการทดลองแต่งแต้มใบหน้าด้วยสีสันและใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยกล้าลอง คิดว่าไม่แมทช์กับตัวเองมาก่อน หรืออยากทดลองเปลี่ยนสีใหม่ไปเรื่อยๆ ฝ่ายแบรนด์ก็มีโอกาสเพิ่มยอดขายไปในตัว เรียกได้ว่า win-win กันทั้งคู่

                                                  ภาพจาก sephoravirtualartist.com

"แล้วคุณล่ะคะ คิดเห็นอย่างไรกับเทรนด์เทคโนโลยีเพื่อความงามเหล่านี้กันบ้าง"

   โดย ปิยพร อรุณเกรียงไกร นักเขียนอิสระผู้ชอบติดตามเทรนด์ไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี