ศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับ CAT datacom
การ์ทเนอร์ (บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก และมีรายชื่ออยู่ในดัชนี S&P 500 บริษัทฯ ให้ข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ) ได้ออกมากล่าวถึงเทรนด์เทคโนโลยีที่บริษัทต่างๆ ควรนำมาปรับใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อพัฒนาบริษัทให้เติบโตไปข้างหน้าได้
Brian Burke รองประธานฝ่ายการวิจัยบอกว่า "บนเส้นทางที่บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา Covid-19 ไปจนถึงการเติบโต พวกเขาต้องโฟกัสไปที่สามส่วนที่รวมกันเป็นกรอบของธีมของเทรนด์ในปีนี้ ได้แก่ ผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง, อิสรภาพของพื้นที่การใช้งาน และการใช้งานที่ยืดหยุ่น เมื่อรวมกันแล้ว เทรนด์เหล่านี้จะรวมกันเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าส่วนที่ประกอบมันขึ้นมา และโฟกัสไปที่ความต้องการส่วนตัวและสังคมจากทุกที่เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ”
1. Internet of Behaviors (IoB) – เกิดขึ้นมาจากการที่หลายๆ เทคโนโลยีนั้นรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ใช้งานในชีวิตประจำวัน IoB นั้นรวบรวมเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วอย่าง facial recognition, location tracking และ big data แล้วเชื่อมต่อข้อมูลเหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อชี้นำพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ในออฟฟิศจะมีการติด RFID หรือเซนเซอร์ที่ตัวอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ก๊อกน้ำล้างมือ เพื่อตรวจสอบว่าพนักงานเข้าไปใช้ห้องน้ำนั้นดูแลสุขอนามัยของตัวเองรึเปล่า หรือว่าการใช้ Facial Recognition เพื่อตรวจสอบว่าพนักงานใส่หน้ากากตามกฎที่บริษัทตั้งเอาไว้ไหม หลังจากนั้นก็ใช้ลำโพงที่เชื่อมต่อกับระบบเพื่อแจ้งเตือนพนักงานให้ทำตามกฎที่บริษัทวางเอาไว้เกี่ยวกับความปลอดภัย
การ์ทเนอร์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าภายในปี 2025 ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะอยู่ในระบบ IoB ใดสักแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือรัฐบาล ในทางเทคนิคแล้ว IoB เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าจะเป็นเรื่องทางศีลธรรมและการถกเถียงทางสังคมมากกว่าว่าพฤติกรรมไหนคือสิ่งที่ควรทำ
2. Total experience - ปีก่อนการ์ทเนอร์ได้เขียนบอกเอาไว้ว่า “multi-experience” คือหนึ่งในกลยุทธ์ทางเทคโนโลยีที่ต้องให้ความสนใจ ในปีหน้ามันจะไปไกลยิ่งกว่านั้นเป็น “Total experience” ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่าง ประสบการณ์ของลูกค้า ผู้ใช้งาน พนักงานของบริษัท และรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ต้องการ โดยเทรนด์นี้จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อนโดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัส Covid-19 ยกตัวอย่างเช่น บริษัทแห่งหนึ่งใช้แอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าสามารถจองคิวเข้ามาเพื่อใช้บริการได้ เมื่อลูกค้ามาถึงใกล้สถานที่ ก็จะแจ้งเตือนให้ลูกค้าเข้าไปผ่านกระบวนการคัดกรอง วัดอุณหภูมิต่างๆ หลังจากนั้นก็จะไกด์ให้รอจนกว่าจำนวนคนในพื้นที่ไม่แออัดเกินไป ก่อนจะเข้าไปใช้บริการในพื้นที่ หลังจากนั้นเมื่อลูกค้าเข้าไปแล้วก็สามารถใช้ตู้อัตโนมัติโดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการในระยะห่างที่กำหนด หรือพนักงานสามารถใช้อุปกรณ์ของพวกเขาเองเพื่อเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน และดำเนินการให้ลูกค้าในตอนนั้นได้เลย ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างประสบการณ์ไม่ติดขัดและปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกคนด้วย
3. Privacy- enhancing computation - ในยุคที่ทุกบริษัทต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า ยิ่งกฎหมายมีการควบคุมที่เข้มข้นมากขึ้นเท่าไหร่ ความสำคัญในจุดนี้ยิ่งจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น เทรนด์นี้ทางการ์ทเนอร์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าภายในปี 2025 นั้น บริษัทขนาดใหญ่เกินครึ่งจะมีการใช้ระบบประมวลข้อมูลที่ป้องกันความเป็นส่วนตัวสำหรับข้อมูลที่มีการแชร์กันหลายๆ ฝ่ายมากยิ่งขึ้น เป็นการใช้งานเทคโนโลยีสามส่วนเพื่อป้องกันการใช้งานข้อมูลของผู้ใช้งาน อย่างแรกคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล อย่างที่สองคือการวิเคราะห์ในรูปแบบกระจายตัว อย่างที่สามคือการเข้ารหัสข้อมูลก่อนกระบวนการวิเคราะห์ต่างๆ โดยการ์ทเนอร์บอกว่าเทรนด์นี้จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่แชร์กันได้ และยังป้องกันความเป็นส่วนตัวและเพิ่มความปลอดภัยอีกด้วย
4. Distributed cloud - หมายถึงบริการ Cloud ที่กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ โดยที่ระบบการทำงาน การควบคุมดูแลและพัฒนายังอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ให้บริการนั้นๆ การกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ที่เก็บข้อมูลจะทำให้อัตราความเร็วในการประมวลผลและรับส่งข้อมูลนั้นราคาถูกลง แถมไม่พอข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นไปตามรูปแบบกฎหมายของในแต่ละพื้นที่ด้วย Burke กล่าวว่า “Distributed cloud จะมาแทนที่ Private cloud และเพิ่มการใช้งานของ Edge cloud และการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆของการประมวลผลแบบคลาวด์ มันจะเป็นอนาคตของ cloud computing”
5. Anywhere operations - เทรนด์นี้มีอัตราเร่งที่เกิดขึ้นเพราะไวรัส Covid-19 จะอยู่ต่อไป หลังจากที่โรคระบาดครั้งนี้ได้รับการดูแลเรียบร้อยแล้ว เป็นโมเดลธุรกิจที่สามารถดูแลลูกค้าได้จากทุกที่ พนักงานทำงานที่ไหนก็ได้ และสามารถดูแลโครงสร้างของธุรกิจในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างไม่ติดขัด ตอนนี้เราเห็นแล้วว่าธุรกิจทุกอย่างถูกปรับให้เป็นออนไลน์ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พนักงานจะไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศอีกต่อไป สถานที่ทั่วไปอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตก็จะถูกปรับเปลี่ยนให้ไปในเทรนด์ที่มีการสัมผัสกันน้อยที่สุด ใช้ cashier-less เหมือนอย่าง Amazon Go หรือ Mobile Banking และเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง
เทรนด์นี้ จะไม่ใช่แค่การทำงานจากที่บ้านหรือการสื่อสารกับลูกค้าทางออนไลน์เท่านั้น แต่ว่ามันเป็นการเพิ่มประสบการณ์พิเศษทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1. การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ 2. การเข้าถึงอย่างปลอดภัย 3. โครงสร้าง cloud และ edge 4. การนับปริมาณของประสบการณ์ดิจิทัล 5. ระบบอัตโนมัติที่รองรับการทำงานทางไกล
6. Cybersecurity mesh - ความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ถือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งเทคโนโลยีจะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ใช้ในชีวิตจริง โดย Cybersecurity mesh จะทำให้เราทราบว่าบริเวณไหนที่มีความเสี่ยง การแชร์ข้อมูลด้านสุขภาพแบบกระจายและการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดตามกฎหมายจะช่วยทำให้การใช้ชีวิตของทุกคนปลอดภัยมากขึ้น
7. Intelligent composable business - “กระบวนการทางธุรกิจที่แข็งกระด้างที่สร้างขึ้นมาเพื่อประสิทธิภาพการทางทำงานนั้นเปราะบางมากเมื่อเจอกับโรคระบาด” Burke กล่าว ธุรกิจในอนาคตนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าและเทรนด์ที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมได้ โดยบริษัทเหล่านี้จะต้องมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจ แล้วก็ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ส่วนไหนที่ควรเพิ่มขึ้น ตัดออก ควรทำได้เป็นส่วนๆ และไม่ส่งผลกระทบถึงด้านอื่นๆ
ยกตัวอย่างเช่น Machine จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจในอนาคต โดยใช้ข้อมูลที่มีมากมายในระบบ Intelligent composable business จะเป็นช่องทางใหม่สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต โมเดลของธุรกิจ ระบบการทำงานแบบอัตโนมัติและงานบริการต่างๆ ด้วย
8. AI engineering - งานวิจัยของการ์ทเนอร์บ่งบอกว่าเพียง 53% ของโปรเจ็คที่ใช้ AI นั้นสามารถนำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ได้สำเร็จ เราเห็นหลายต่อหลายบริษัทที่ลงทุนไปกับเทคโนโลยี AI แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ การเอาวิศวกรรม AI เข้ามาร่วมในการวางแผนเพื่อขยายต่อไปในอนาคตนั้นจำเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นบริษัทสร้างส่วนวิจัยและพัฒนาด้าน AI ขึ้นมาแล้วทำเป็นโปรเจ็กต์แบบเอกเทศ แต่สิ่งที่ควรทำคือการนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าร่วมในการวางแผนด้วย เพราะต่อไปเราจะเห็นประเด็นอย่างความโปร่งใสของ AI ความน่าเชื่อถือ ความเท่าเทียม หรือ explainable AI ที่ผู้พัฒนาต้องสามารถอธิบายถึงการทำงานเบื้องหลังของสมองกลที่สร้างขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าวางแผนเอาไว้ก่อนจะสร้างประโยชน์ได้เป็นอย่างมาก
9. Hyperautomation - เทรนด์นี้ติดอันดับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว Burke กล่าวว่า “Hyperautomation เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และหวนกลับไปไม่ได้ ทุกอย่างที่สามารถทำให้เป็นระบบอันโนมัติได้ก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติ” เทรนด์อันนี้น่าจะยังอยู่ต่อไปเพราะเมื่อทุกอย่างสามารถทำเป็นระบบอัตโนมัติได้ ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะถูกตัดออกไป เทรนด์ที่จะเกิดขึ้นคือต่อไปทุกอย่างจะรัดกุม มีระบบที่เข้ามาดูแล ขั้นตอนถูกตัดทอน อันไหนที่หุ่นยนต์สามารถทำแทนมนุษย์ได้ก็จะถูกทดแทนเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มอัตราการผลิต บริษัทที่ไม่สนใจเรื่องนี้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน การระบาดของโรค Covid-19 ทำให้เทรนด์นี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างเรียกได้ว่าจะถูกทำให้เป็น “Digital First” ทั้งหมด
นี่เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าสนใจในอีก 5-10 ปีข้างหน้าที่จะมาถึง แม้เราจะไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่บ้างและโรคระบาดครั้งนี้จะไปจบลงเมื่อไหร่ แต่เทคโนโลยีต่างๆ ยังคงต้องถูกพัฒนาต่อไปโดยมีความปลอดภัยจากไวรัส Covid-19 เป็นตัวเร่งที่สำคัญ บริษัทไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ต่างต้องวางกลยุทธ์กันอย่างระมัดระวังและเหมาะสม ใช้ทรัพยากรและความรู้ที่มีให้เกิดประโยชน์มากที่สุดด้วย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา